บิตคอยน์เก็บรักษามูลค่าได้ดีกว่าทองคำ และสามารถเคลื่อนย้ายมูลค่าได้ดีกว่าเงิน Fiat ที่เราใช้อยู่ในปัจจุบัน

BITCOIN SALABILITY ACROSS TIME

Money คือ energy เมื่อเราหามาได้แล้ว เราต้องเก็บรักษามูลค่าเพื่อนำไปแลกเปลี่ยนเป็นสิ่งของอย่างอื่นที่เราต้องการในอนาคต ทองคำเป็นเครื่องมือเก็บรักษามูลค่าได้ดีที่สุด เพราะเป็นของหายาก โดยแต่ละปีมีทองคำถูกขุดเพิ่มขึ้นเฉลี่ยประมาณ 1-2% อย่างไรก็ตามลองจินตนาการว่าพรุ่งนี้ราคาทองคำกระโดดเพิ่มขึ้นจากบาทละ 26,000 เป็นบาทละ 260,000 พี่ชิตก็เชื่อว่าจะมีคนเข้าไปลงทุนทำธุรกิจเหมืองทองคำเป็นจำนวนมาก เมื่อเราสามารถผลิตทองคำได้เพิ่มขึ้น ราคาทองคำก็จะตกลงเป็นไปตามหลักการอุปสงค์ อุปทาน แต่บิตคอยน์มีเพียง 21 บิตคอยน์เท่านั้น ปัจจุบันมีอัตราเพิ่มขึ้นอยู่ที่ปีละ 1.79% พอๆกับทองคำ จำนวนบิตคอยน์เพิ่มขึ้นตามตารางเวลาที่กำหนดไว้ในโปรโตคอลเท่านั้น ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ นับได้ว่าบิตคอยน์เป็นนวัตกรรมแรกในประวัติศาสตร์ที่เราสามารถใช้เป็นเครื่องมือเก็บรักษามูลค่า โดยที่เราไม่สามารถผลิตเพิ่มขึ้นได้ตามปริมาณความต้องการของตลาด เราจึงพอจะสรุปได้ว่าบิตคอยน์ คือทองคำดิจิตอลที่กำลังเข้าไปทำหน้าที่เป็นตัวเก็บรักษามูลค่าแทนทองคำแท้ๆ

BITCOIN SALABILITY ACROSS SPACE

วิวัฒนาการของเทคโนโลยีเพื่อการเคลื่อนย้ายทำให้มนุษย์สามารถเคลื่อนที่จากจุด A ไปยังจุด B ได้รวดเร็วขึ้นเรื่อยๆจากที่เคยใช้ม้าเป็นยานพาหนะ เป็นรถยนต์ และการเดินทางทางอากาศโดยเครื่องบิน จนกระทั่งเราเข้าสู่ยุคอินเตอร์เน็ตทำให้มนุษย์สามารถติดต่อสื่อสารกันได้สะดวก รวดเร็ว และทั่วถึงยิ่งขึ้น เหมือนโลกทั้งใบถูกย่อขนาดให้เล็กลงไปอีก การเคลื่อนย้ายมูลค่าเป็นจุดอ่อนของทองคำเมื่อจำเป็นต้องชำระงบดุลระหว่างกัน จึงเป็นที่มาของมาตรฐานระบบการเงิน Fiat ที่ทำให้เราสามารถพกพาและโอนชำระได้สะดวกรวดเร็วมากขึ้น แต่เมื่อเราใช้ระบบเงิน Fiat มาถึงระยะหนึ่ง มันกลายเป็นเรื่องยากสำหรับมนุษย์ที่จะหักห้ามใจไม่ให้พิมพ์เงินออกมามากกว่ามูลค่าทางเศรษฐกิจที่สร้างขึ้นมาได้ จนอาจทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้ออย่างรุนแรง (Hyperinflation) ระบบเงิน Fiat สามารถเคลื่อนย้ายเงินได้สะดวกรวดเร็วขึ้นก็จริง แต่ดูเหมือนว่าระบบเงิน Fiat จะเป็นการเดินถอยหลังในมิติของความสามารถในการเก็บรักษามูลค่าของเงิน อย่างไรก็ตามมีข้อเท็จจริงที่คนส่วนใหญ่ยังเข้าใจผิด จริงๆแล้วบิตคอยน์สามารถเคลื่อนย้ายได้เร็วกว่าระบบเงิน Fiat ระบบเครือข่ายบิตคอยน์สามารถรองรับการโอนชำระเงินระหว่างประเทศได้วันละประมาณ 500,000 ครั้ง และสามารถใช้เวลาในการปิดชำระดุลสุทธิของแต่ละธุรกรรม ประมาณ 1 ชั่วโมง ซึ่งเร็วกว่าระบบเงิน Fiat อันทันสมัยที่ใช้อยู่ในปัจจุบันที่ต้องใช้เวลาประมาณ 3-5 วัน ในการปิดชำระดุลสุทธิของธุรกรรมระหว่างประเทศ บิตคอยน์โปรโตคอลและเครือข่ายบิตคอยน์ทำให้คำว่าพรมแดนไม่มีความหมาย ซึ่งสามารถใช้เป็นเครื่องมือช่วยเหลือประชาชนในประเทศไหนก็ได้ในโลกที่กำลังตกอยู่ในภาวะเงินเฟ้ออย่างรุนแรง (ตัวอย่าง เวนเนซูเอลา ตุรกีย์ และเลบานอน) หรือสักวันหนึ่งเหตุการณ์นี้อาจจะเกิดขึ้นกับประเทศของเราก็ได้ ใครจะไปรู้ อีกเรื่องสำคัญคือพวกเราอย่าไปเข้าใจผิดระหว่างความเร็วของการชำระเงินด้วยบัตรเครดิตการ์ด กับการปิดชำระดุลสุทธิของธุรกรรม มันเป็นคนละเรื่องกัน เมื่อเรารูดบัตรเครดิตซื้อกาแฟสตาร์บัค การปิดชำระดุลสุทธิของธุรกรรมยังไม่เกิดขึ้นทันที ยังมีขั้นตอนที่ธนาคารผู้ออกบัตรเครดิตให้คุณต้องติดต่อกับธนาคารของร้านกาแฟสตาร์บัคซึ่งทั่วไปต้องใช้เวลาอีกประมาณ 2-3 วันกว่าชำระดุลสุทธิจะเสร็จสิ้น ในขณะที่บิตคอยน์สามารถปิดชำระดุลสุทธิของธุรกรรมทุกๆชั่วโมง มันทำงานเหมือนการจ่ายด้วยเงินสด เมื่อเงินเปลี่ยนมือ ถือว่าธุรกรรมเสร็จสมบูรณ์ ไม่มีความเสี่ยงด้านเครดิต เราสามารถพูดได้ว่าบิตคอยน์ทำหน้าที่ Fiat ได้ดีกว่าเงิน Fiat จริงๆเสียอีก บิตคอยน์สามารถการเคลื่อนย้ายมูลค่าได้ดีกว่า บิตคอยน์ไม่ใช่หนี้เหมือนเงิน Fiat จึงไม่มีความเสี่ยงด้านเครดิต

By #satochit